Digital Video Measurements (unit 4)
การสุ่มข้อมูลแบบ 601
ตามมาตรฐานของ
ITU-R
BT.601 เป็นวิธีการสุ่มข้อมูลที่พัฒนามาจากความร่วมมือของการทำงานร่วมกันโดยหน่วยงาน
SMPTE (Society of Motion Picture and Television Engineers)
และ EBU (European Broadcasting Union) เพื่อตัดสินปัจจัยที่พึงกำหนดขององค์ประกอบดิจิตอลวิดีโอสำหรับระบบโทรทัศน์ในรูปแบบชนิดการสะแกน
625/50 และแบบ 525/60 งานนี้เป็นการรวมเอาสุดยอดของผลการทดสอบที่กระทำโดย SMPTE
ในปี ค.ศ.1981 และผลงานที่รู้กันทั่วไปจากข้อเสนอแนะของ CCIR
601 (International Radio Consultative Committee) เอกสารฉบับนี้ได้กำหนดถึงกลไกวิธีการสุ่มข้อมูลให้สามารถใช้ได้กับทั้งแบบสัญญาณภาพชนิด
626 เส้นและชนิด 525 เส้น โดยได้กำหนดวิธีของการสุ่มข้อมูลแบบเป็นมุมฉาก
(orthogonal sampling) ที่ความถี่ 13.5 MHz. สำหรับสัญญาณส่องสว่างแบบแอนะลอกและ
6.75 MHz. สำหรับสัญญาณความแตกต่างของสีทั้งสองแบบแอนะลอก
ค่าของการสุ่มที่เป็นความส่องสว่างแบบดิจิตอลคือ Y’ และค่าความแตกต่างของสีแบบดิจิตอลคือ
C’b and C’r ซึ่งเป็นผลจากการปรับขนาดของการแก้ไขแกมมาแบบแอนะลอกที่เป็น
B’-Y’ and R’-Y’ สำหรับความถี่ขนาด 13.5 MHz. ได้ถูกเลือกกำหนดให้เป็นความถี่ในการสุ่มเพราะว่าตัวคูณย่อยของ 2.25 MHz. นั้นเป็นตัวประกอบร่วมของทั้งระบบ 625 เส้นและระบบ 525 เส้น
ภาพที่
9. การแปลงค่าของตัวเลขให้เป็นจำนวนเต็มความแตกต่างของสี
ภาพที่
10. การแปลงค่าของตัวเลขให้เป็นจำนวนเต็มของการส่องสว่าง
ถึงแม้ว่าในปัจจุบันนี้การจัดการสุ่มค่าตัวอย่างข้อมูลตามข้อกำหนดของ
ITU-R
BT.601 ระบุไว้ที่จำนวน 10
บิตก็ตามแต่ก็ยอมรับให้ใช้การสุ่มค่าตัวอย่างที่จำนวน 8 บิตด้วยเช่นกัน (แบ่งเป็น
256 ระดับ) แต่ถ้าในกรณีที่เป็น 10 บิต (แบ่งเป็น 1024 ระดับ) ตามข้อกำหนดที่ปริมาณข้อมูล 8
บิตเป็นหนึ่งคำนั้นสามมารถแปลงโดยตรงให้เป็นข้อมูลแบบ 10 บิตได้เลย
และถ้าเป็นข้อมูลแบบ 10 บิตก็สามารถแปลงให้เป็นข้อมูลแบบ 8
บิตเพื่อให้สามารถทำงานร่วมกันได้
ข้อมูลองค์ประกอบความแตกต่างของสีจะตอบสนองสัญญาณแบบแอนะลอกระหว่าง +/- 350
mV. สัญญาณที่มากเกินเลยออกนอกพื้นที่ไปบ้างยอมรับได้ที่ไม่เกิน
+/- 400 mV. สำหรับองค์ประกอบของการส่องสว่าง (Y’)ในภาพที่ 10. ตอบสนองต่อสัญญาณแบบแอนะลอกระหว่าง 0.0 mV. to 700
mV. และถ้าหากมีสัญญาณที่เกินเลยออกนอกพื้นที่ไปบ้างยอมรับได้ไม่เกินย่านของ
– 48 mV. to + 763 mV. เพื่อเป็นการยอมให้เผื่อไว้ในกรณีมีสัญญาณที่สูงเกินระดับของสีขาว
วงจรแปลงจากแอนะลอกเป็นดิจิตอลถูกกำหนดให้กำเนิดข้อมูลแบบ 10
บิตที่ระดับค่าไม่ให้มีค่าต่ำหรือค่าสูงเกินไปเพื่อเป็นการสามารถทำงานร่วมกับอุปกรณ์ในระบบ
8 บิตหรือว่าสามารถเชื่อมต่อกันได้
ภาพที่
11.ข้อมูลดิจิตอลของ horizontal blanking
ภาพที่
12. แผนผังของการสะแกนแบบสอดประสาน
ภาพที่
13. แนวคิดเรื่องคลื่นนำพา
จากภาพที่ 11.แสดงตำแหน่งของการสุ่มค่าตัวอย่างและกำหนดค่าเป็นข้อมูลแบบดิจิตอลโดยการกำหนดเป้าหมายไปที่เส้นทางแนวนอนแบบแอนะลอก จากภาพที่ 12.
แสดงให้เห็นความสัมพันธ์ถึงขอบเขตของภาพ
เนื่องจากข้อมูลของฐานเวลาเป็นไปตามหีบห่อที่บรรจุของจุดสิ้นสุดภาพและจุดเริ่มต้นของภาพ
(End of Active Video and Start of Active Video) หรือมีชื่อย่อว่า EAV and SAV โดยปราศจากความจำเป็นต้องมีสันญาณซิงค์
(Synchronization) เหมือนแบบแอนะลอกดั้งเดิมอีกต่อไป ในช่วงของเวลาที่เป็น Blanking interval
ของทั้งแนวนอนและแนวตั้งนี้สามารถนำมาใช้บรรจุข้อมูลเสียงและข้อมูลประกอบอื่นๆได้ จากหีบห่อบรรจุภัณฑ์ที่กำหนดโดยจุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสุดของภาพถูกกำหนดในข้อมูลต่อเนื่องด้วยส่วนหัวของการเริ่มต้นด้วยคำสั่งดังนี้ 3FF, 000, 000, คำสั่งที่สี่ถัดมาคือการบรรจุข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับตัวสัญญาณนั้น
ข้อมูลประกอบของดิจิตอลวิดีโอจะถูกระบุด้วยส่วนหัวที่เริ่มต้นด้วยคำสั่ง 000,
3FF, 3FF, สำหรับคำสั่งที่เป็น
“XYZ” เป็นคำสั่งชนิดสิบบิตประกอบด้วยสองบิตที่ไม่สำคัญจะถูกกำหนดให้มีค่าเป็นศูนย์เพื่อเปิดโอกาสในการเชื่อมต่อแบบแปดบิตได้
การเชื่อมต่อดิจิตอลแบบขนาน
การเชื่อมต่อทางไฟฟ้าสำหรับข้อมูลที่เป็นผลผลิตโดยข้อกำหนดที่
REC.
601 คือมาตรฐานของการสุ่มค่าตัวอย่างที่แยกออกจากข้อกำหนดมาตรฐาน
125M ของ SMPTE สำหรับระบบ 525/59.94
และโดยข้อกำหนดของ EBU Tech. 3267 สำหรับรูปแบบ 625/50 ข้อกำหนดทั้งสองรูปแบบนี้ถูกดัดแปลงโดย
CCIR (ในปัจจุบันนี้คือ ITU) และรวมไปถึงข้อเสนอแนะที่
656 ทั้งนี้ในเอกสารได้อธิบายถึงการเชื่อมต่อทางกายภาพแบบขนานไว้ว่า การเชื่อมต่อแบบขนานใช้สายแบบตีเกลียวจำนวน 11
เส้นและใช้ข้อต่อชนิด D- connectors แบบ
25 ขา วิธีการเชื่อมต่อแบบขนานนี้เป็นข้อมูลแบบเชิงซ้อนตามลำดับของ C’b ,
Y’ , C’r , Y’ มีผลในอัตราความเร็วของข้อมูลที่ 27 ล้านบิตต่อวินาที
ลำดับเวลาของจุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสุดภาพเป็นการเพิ่มเข้าไปในจำนวนของแต่ละเส้น
ในส่วนของเส้นที่มีภาพในแบบดิจิตอลสำหรับทั้งระบบ
525 และ 625 สุ่มค่าตัวอย่างระดับส่องสว่างที่ 720 ตัวอย่าง ทั้งนี้ยังคงมีการสุ่มค่าในระหว่างช่วงของ blanking
สำหรับฐานเวลาและข้อมูลอื่นๆ
และสาเหตุสำคัญเนื่องจากว่าจำเป็นต้องใช้สายตัวนำหลายเส้นและแผงรองรับในการเชื่อมต่อทำให้ในทางปฏิบัติแล้วการเชื่อมต่อแบบนี้ถูกใช้งานจำกัดเฉพาะจุดเล็กๆหรือเป็นการเชื่อมต่อแบบถาวรเท่านั้น
การเชื่อมต่อดิจิตอลแบบอนุกรม (SDI)
ถ้าไม่คำนึงถึงรูปแบบแล้วย่อมเป็นที่ชัดเจนว่าเป็นการสะดวกมากสำหรับการส่งผ่านข้อมูลโดยใช้สายโคแอกเชียลเพียงเส้นเดียว แต่นี่ย่อมไม่ใช่เรื่องง่ายเพราะว่าอัตราความเร็วการส่งข้อมูลที่สูงมาก
แต่ทว่าถ้าสัญญาณเหล่านี้ถูกนำส่งโดยปราศจากการดัดแปลงให้มีความเหมาะสมแล้วความน่าเชื่อถือไว้วางใจคงเป็นเรื่องทำได้ยาก ดังนั้นสัญญาณจำเป็นต้องถูกดัดแปลงเพื่อวัตถุประสงค์ของการส่งที่มั่นใจได้ว่าขอบของรูปคลื่นสัญญาณนาฬิกาสามารถกู้คืนมาได้ รวมถึงเพื่อให้เป็นการลดเนื้อหาข้อมูลอันเป็นความถี่ต่ำและเป็นการกระจายย่านแถบสเปคตรัมของพลังงานเพื่อลดปัญหาของการแพร่กระจายคลื่นความถี่วิทยุให้ลดน้อยลงไปอีกด้วย วิธีการที่นำมาใช้คือเชื่อมต่อข้อมูลดิจิตอลแบบอนุกรมด้วยการกระจายข้อมูลคลุกเคล้ากันไปแล้วแปลงให้เป็นข้อมูลชนิดส่วนกลับของไม่ลดลงเป็นศูนย์
(Non
– Return to Zero Inverse) หรือเรียกย่อว่า
NRZI วิธีการแบบนี้ได้รับการพัฒนาเพื่อสนองตอบปัญหาดังกล่าว การเชื่อมต่อแบบอนุกรมนี้คือข้อกำหนดในมาตรฐาน ANSI/SMPTE
259M , ITU-R BT.656 and EBU Tech. 3267 สำหรับใช้กับทั้งสัญญาณชนิดแยกองค์ประกอบ
ความคมชัดมาตรฐาน (Component signal) และสัญญาณชนิดที่ประกอบรวมกันไป
(Composite signal) รวมไปถึงข้อมูลเสียงที่ถูกฝังรวมไปด้วยกัน
(Embedded Audio)
ในการเชื่อมต่อสำหรับระบบที่มีความคมชัดสูงแล้วจะใช้ข้อกำหนดที่มีขนาดของสัดส่วนใหญ่ขึ้นตามไปด้วย
แนวคิดเรื่องการเชื่อมต่อข้อมูลดิจิตอลมีความคล้ายคลึงกับระบบตัวพาหนะสำหรับการใช้งานในห้องผลิตรายการสัญญาณพื้นฐานของภาพและเสียงเป็นการแปลงให้เป็นดิจิตอลและเชื่อมเข้าด้วยกันโดยอยู่บนพาหนะดิจิตอลแบบอนุกรมดังแสดงให้เห็นในภาพที่
13. ข้อสังเกตคือนี่ไม่ใช่ระบบพาหนะที่เคร่งครัดในขณะที่สัญญาณพื้นฐานที่เป็นดิจิตอลก็ไม่ใช่สัญญาณที่ถูกผสมไปกับตัวพาหนะ
จำนวนอัตราความเร็วของบิตเป็นการตัดสินโดยอัตราของความถี่ฐานนาฬิกาข้อมูลดิจิตอลดังนี้คือ
270 ล้านบิตต่อวินาทีสำหรับสัญญาณชนิดแยกส่วนองค์ประกอบ
(component signal) ตามมาตรฐานของภาพความคมชัดปกติ และ 1.485 พันล้านบิตต่อวินาทีสำหรับรูปแบบภาพความคมชัดสูง
รวมไปถึงอัตราความเร็วขนาด 143 ล้านบิตต่อวินาที และ 177 ล้านบิตต่อวินาทีสำหรับสัญญาณที่ประกอบรวมกันไป
(composite signal) ในระบบของ NTSC and PAL การเชื่อมต่อแบบคอมโพสิตนี้ยังคงมีใช้อยู่บ้างแต่ไม่กล่าวถึงรายละเอียดในที่นี้
ภาพที่
14. การแปลงจากขนานเป็นอนุกรม
ภาพที่
15. ความสัมพันธ์ระหว่าง NRZ และ NRZI
ข้อมูลแบบขนานนำเสนอรูปแบบการสุ่มตัวอย่างของสัญญาณส่วนประกอบแบบแอนะลอกที่ผ่านการประมวลผลแล้วดังในภาพที่
14. เพื่อนำไปสร้างให้เกิดข้อมูลสัญญาณดิจิตอลต่อเนื่องแบบอนุกรม
ความถี่ของรูปคลื่นนาฬิกาแบบขนานถูกป้อนเข้าให้เป็นข้อมูลตัวอย่างของชิฟท์รีจิสเตอร์และมีหน่วยทวีคูณเพื่อสร้างความถี่นาฬิกาให้เป็นสิบเท่าผลักดันข้อมูลออกมา
โดยเริ่มต้นจากบิตที่มีความสำคัญน้อยที่สุดก่อนสำหรับคำสั่งข้อมูลชนิด 10
บิต แต่ถ้าในกรณีที่เป็นข้อมูลชนิด 8
บิตแล้วจะกำหนดให้ข้อมูลจำนวนสองบิตมีค่าเป็นศูนย์เพื่อให้มีจำนวนครบทั้งหมดสิบบิต ในรูปแบบของสัญญาณชนิดส่วนขององค์ประกอบฐานเวลาของจุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสุดของการเกิดภาพที่อยู่บนการเชื่อมต่อแบบขนานยอมให้มีการจัดลำดับระบุชี้ในเชิงอนุกรมเพื่อกำหนดแต่ละเฟรมของภาพได้ รหัสของหีบห่อบรรจุภัณฑ์ที่กำหนดจุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสุดภาพจะเป็นตัวอธิบายในกระบวนการทำให้สอดคล้องกันในส่วนของห้องผลิตรายการ
และถ้ามีข้อมูลประกอบอื่นใดเช่นข้อมูลเสียงถูกสอดแทรกเข้าไปในสัญญาณแบบขนานแล้วข้อมูลเหล่านี้ยังคงถูกส่งต่อโดยการเชื่อมต่อแบบอนุกรมด้วยเช่นกัน
มาต่อกันที่เรื่องของการแปลงข้อมูลแบบขนานให้เป็นข้อมูลแบบอนุกรม
ข้อมูลที่ส่งผ่านต่อเนื่องกันมาจะถูกทำให้กระจัดกระจายด้วยขั้นตอนของสมการทางคณิตศาสตร์แล้วก็เข้ารหัสให้เป็นแบบไม่เปลี่ยนไปเป็นศูนย์ส่วนกลับ
(NRZI) ด้วยวิธีการเชื่อมโยงกันเป็นสายโซ่ของสมการดังต่อไปนี้
G1(X)
= X 9 + X 4 + 1
G2(X)
= X + 1
การทำให้สัญญาณกระจัดกระจายตัวกันทำให้มันมีลักษณะคงที่คล้ายกับที่พบในสภาวะไฟฟ้ากระแสตรงสำหรับการจัดการได้ง่ายและมีขอบของการเปลี่ยนแปลงที่มากพอสำหรับการกู้คืนสัญญาณนาฬิกา
และรูปแบบของการเข้ารหัสแบบนี้ยังไม่ต้องกังวลเรื่องของขั้วบวกหรือขั้วลบ ที่ตัวเครื่องรับเองก็ใช้วิธีการย้อนกลับกระบวนการทางคณิตศาสตร์ในการแปลงข้อมูลแบบอนุกรมเพื่อกู้คืนค่าข้อมูลที่ถูกต้องดังนั้นผู้ชมจะได้เห็นต้นฉบับตามจริงของสัญญาณที่ไม่ใช่เป็นแบบคลุกเคล้าปนกันมา ระบบการส่งข้อมูลแบบดิจิตอลอนุกรมนั้นตัวความถี่ของนาฬิกาถูกบรรจุลงไปในข้อมูลซึ่งแตกต่างจากระบบส่งข้อมูลแบบขนานที่แยกเส้นของความถี่นาฬิกาไว้ต่างหากกัน
ด้วยวิธีการนำเอาข้อมูลคลุกเคล้าปะปนกันไปทำให้มันมีความสมบูรณ์ในการส่งต่อและรับประกันได้สำหรับทำการกู้คืนความถี่นาฬิกาได้แน่นอน
(จากการทดสอบประสิทธิภาพการทำงานของวงจรรับส่งดิจิตอลแบบอนุกรมในสภาพตามปกติแล้วระบบจะไม่ล้มเหลวแม้ในภาวะที่ต้องพบกับสัญญาณที่ค่อนข้างยุ่งยากซับซ้อนก็ตาม)
การเข้ารหัสด้วยวิธีการส่วนกลับของไม่เป็นศูนย์
(NRZI) ทำให้ไม่ต้องกังวลเรื่องของการกลับขั้ว โดยทั่วไปเราจะคุ้นเคยกับระดับสถานะทางตรรกะที่ว่า
“สูงเท่ากับหนึ่งและต่ำเท่ากับศูนย์”
แต่สำหรับในระบบการรับส่งแล้วมันไม่เป็นการสะดวกนักสำหรับความต้องการยืนยันขั้วของสันญาณที่ตัวเครื่องรับ จากภาพที่ 15.
แสดงให้เห็นว่าการเปลี่ยนสถานะของข้อมูลถูกใช้เพื่อนำเสนอแต่ละข้อมูลว่าเป็น
“หนึ่ง” และถ้าไม่มีการเปลี่ยนสถานะของข้อมูลสำหรับนำเสนอว่าเป็น “ศูนย์” ผลลัพธ์ก็คือว่ามันมีความจำเป็นแค่เพียงทำการตรวจจับการเปลี่ยนแปลงสถานะเท่านั้นเอง
ผลลัพธ์อีกประการหนึ่งของการใช้วิธีการเข้ารหัสแบบนี้คือถ้าปรากฏสัญญาณเป็นหนึ่งทั้งหมดแล้วก็จะทำการผลิตรูปคลื่นสี่เหลี่ยมที่เป็นครึ่งหนึ่งของความถี่นาฬิกา แต่ทว่าอย่างไรก็ดีเมื่อ “ศูนย์”
หมายถึงการไม่เปลี่ยนสถานะที่ซึ่งเป็นเหตุให้มีความจำเป็นในขั้นตอนการคลุกเคล้าข้อมูล
ดังนั้นที่ตัวเครื่องรับจะกำหนดให้ขอบขาขึ้นของรูปคลื่นสี่เหลี่ยมความถี่นาฬิกาจะถูกใช้สำหรับการตรวจจับข้อมูล
การเชื่อมต่อแบบอนุกรมอาจถูกนำไปใช้งานที่ยาวเกินไปกว่าระยะทางรายเฉลี่ยด้วยวิธีการออกแบบในระบบด้วยสายเคเบิ้ลขนาด
75 โอห์มและจุดเชื่อมต่อกับหัวต่อตามมาตรฐาน
สำหรับผลกระทบที่เกิดจากการไม่ใส่ตัว Terminator บนตัวต่อแบบ T-Connector นั้นอาจไม่เกิดปัญหากับสัญญาณแอนะลอกวิดีโอ แต่ถ้าเป็นการเชื่อมต่อดิจิตอลวิดีโอแบบอนุกรมย่อมก่อให้เกิดผลกระทบอย่างเป็นรูปธรรมเช่นการสะท้อนกลับและการสูญเสียรายการทั้งหมดได้
การทำความเข้าใจเกี่ยวกับวิดีโอชนิดส่วนองค์ประกอบ (Component
signal) ทั้งชนิดการเชื่อมต่อแบบขนานและการเชื่อมต่อแบบอนุกรมล้วนเป็นเรื่องเหมาะสมทั้งชนิดรูปแบบความคมชัดภาพมาตรฐานแบบปกติและแบบความคมชัดภาพสูง ทั้งเรื่องของวิธีการสุ่มค่าตัวอย่าง
(Sampling) และการประเมินค่าระดับน้ำหนัก (Quantization) โดยทั่วไปแล้วมีความเหมือนกันเท่าๆกับรูปแบบของข้อมูลในการทำให้ระบบทำงานไปด้วยกัน
(Synchronization) ในรูปแบบชนิดความคมชัดสูงจะมีอัตราในการสุ่มตัวอย่างข้อมูลที่สูงกว่า จำนวนเส้นของภาพและการตรวจสอบข้อผิดพลาดที่มากกว่ารวมไปถึงการสุ่มค่าตัวอย่างเสียงแบบหลายช่องตามแบบของวิดีโอความคมชัดสูง
แต่ทว่าอย่างไรก็ดีทั้งแบบความคมชัดมาตรฐานและความคมชัดสูงล้วนมีหลักการเดียวกัน
การทำความเข้าใจรูปแบบของดิจิตอลวิดีโอชนิดใดชนิดหนึ่งย่อมนำเราให้มีความเข้าใจในรูปแบบอื่นเช่นกัน
หมายเหตุ บทต่อไปเป็นเรื่องของ ดิจิตอลวิดีโอในแต่ละฟอร์แมตและ เรื่องของคาบเวลาในการสอดประสานทำงานร่วมกันได้ (Timing and Synchronization)
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น