Audio mixer part 4
เป็นตอนจบของเครื่องผสมสัญญาณเสียงครับ
เป็นตอนจบของเครื่องผสมสัญญาณเสียงครับ
แอนะลอกมิกเซอร์ที่เป็นแบบดั้งเดิม
ถ้าหากคิดว่าเครื่องผสมสัญญาณเสียงที่เป็นแบบแอนะลอกเป็นของเก่าล้าสมัยและไม่ดีแล้วถือว่าเป็นการเข้าใจผิดอย่างมากเลย
มีผู้คนเป็นอันมากที่ยังพึงพอใจกับการเลื่อนเฟดเดอร์และหมุนปุ่มปรับเพื่อให้ได้โทนเสียงอันอบอุ่น
และอาการตอบสนองการทำงานอย่างทันใจด้วยการปรับแต่งเพียงปุ่มสองปุ่ม
มันปราศจากเมนูหรือว่าคำสั่งการทำงานที่ซับซ้อนหลายขั้นตอนที่ต้องกระทำก็เพียงแค่เลื่อนเฟดเดอร์และปรับหมุนปุ่มเพื่อควบคุมระดับแรงดันของสัญญาณเสียงที่วิ่งไปตามสายเท่านั้นเอง
การจัดแบ่งกลุ่มของเครื่องแบบแอนะลอกได้สองกลุ่มใหญ่คือ
หนึ่งตามจำนวนช่องสัญญาณ และสองตามจำนวนของบัสสัญญาณ
ดังนั้นเราจะพบว่าเครื่องผสมสัญญาณเสียงส่วนใหญ่เกือบทุกรุ่นจะเป็นหมายเลขที่บ่งบอกข้อมูลดังกล่าว
ตัวอย่างเช่นถ้าเขียนว่า 32-8 ก็หมายความว่ามีช่องต่อสัญญาณขาเข้าจำนวน
28 ช่องและมีจำนวนของบัส 8 บัส
และในบางรุ่นก็จะมีตัวเลขชุดที่สามติดมาด้วยซึ่งเป็นการระบุถึงจำนวนช่องสัญญาณขาออกหลัก
(master output) ดังนั้นก่อนที่จะดำเนินการจัดหานำมาใช้งานเราจำเป็นต้องศึกษาคุณลักษณะทางเทคนิคให้ละเอียดเสียก่อน
ประเภทของแอนะลอกมิกเซอร์
1) ประเภทมีแปดบัสสัญญาณ
ถ้างานที่ต้องการบันทึกเสียงวงดนตรีทั้งวงในห้องสตูดิโอจำเป็นต้องใช้ไมโครโฟนเป็นจำนวนมากและในขณะบันทึกยังต้องฟังเสียงไปพร้อมกันด้วย
ในกรณีเช่นนี้เราจำเป็นต้องส่งเสียงเป็นมอนิเตอร์ไปยังทีมงานทุกคนอีกด้วย
เครื่องผสมสัญญาณเสียงที่มีจำนวนบัสแปดบัสจะเหมาะสมต่องานประเภทนี้ที่สุด
สำหรับจำนวนของช่องต่อสัญญาณขาเข้าขึ้นอยู่กับเงินงบประมาณและความเหมาะสม
อาจเริ่มต้นจาก 24 – 48 ช่องสัญญาณ
2) ประเภทที่มีอุปกรณ์เชื่อมต่อกับสัญญาณดิจิตัล
เครื่องผสมสัญญาณเสียงชนิดนี้ภาพลักษณ์ภายนอกไม่ได้แตกต่างจากเครื่องชนิดแอนะลอกทั่วไปแต่จะมีจุดเชื่อมต่อประเภทยูเอสบีหรือไฟร์ไวร์เข้ากับอุปกรณ์แบบ
DAW
(digital audio workstation) มาให้ด้วย การเชื่อมต่อที่ว่านี้มีตั้งแต่แบบพื้นฐานจำนวนสองช่องไปจนระบบใหญ่ๆทีเป็นหลายช่องสัญญาณทั้งเข้าและออก
3) ประเภทมีสี่บัสสัญญาณ
หมายถึงตัวเครื่องแบบนี้มีเส้นทางให้เลือกเพียงสี่กลุ่มย่อย
(sub
or group outs) นอกจากนี้ก็ยังมีสัญญาณขาออกหลัก (main or
program outs) และอีกอย่างคือสัญญาณเสียงสำหรับห้องควบคุม (control
room outs) ระบบช่องทางของบัสเอื้อประโยชน์สำหรับการเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ภายนอกแต่เรายังสามารถใช้ช่องทางอื่นทีมีอีกเช่นไดเร็คเอาท์
ช่อง insert and send ให้เลือกใช้อีกด้วย
4) ประเภท
2+2
บัสสัญญาณ สำหรับการทำงานที่ไม่ซับซ้อนหรือมีการบันทึกเสียงจากแหล่งสัญญาณเสียงไม่มากนัก
เครื่องแบบที่มีกลุ่มบัสย่อยเพียงสองช่องบวกกับช่องโปรแกรมหลักอีกสองช่องก็พอเพียงแล้ว
เครื่องประเภทนี้มักมีช่องสัญญาณขาเข้าไม่มากนักตั้งแต่ 4
– 12 ช่อง
5) ประเภทสเตอริโอมิกเซอร์
เครื่องแบบนี้เป็นประเภทที่ไม่มีบัสย่อยให้มีเพียงช่องทางของสัญญาณขาออกหลักสองช่องแบบสเตอริโอซ้ายขวา
(L+R)
เท่านั้น
อย่างไรก็ดีมันสามารถปรับแต่งผสมเสียงสัญญาณขาเข้าและปรับแต่งสัญญาณขาออกได้ระดับหนึ่ง
6) ประเภทติดตั้งอยู่บนตู้แรค
เครื่องผสมสัญญาณเสียงแบบนี้มักมีขนาดเล็กกะทัดรัดที่ไม่ค่อยมีจุดให้ปรับแต่งเสียงได้มากนักและมีช่องสัญญาณขาเข้าจำนวน
4
– 8 ช่อง ส่วนใหญ่ใช้ทำงานในระบบเสียงย่อยๆหรืองานชนิดที่ไม่จำเป็นต้องปรับกันบ่อย
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น