การเลือกใช้เครื่องผสมสัญญาณเสียง

อันนี้เป็นการรวมทั้งสี่ตอนมาไว้ด้วยกันและได้ปรับปรุงแก้ไขข้อความบางตอนให้ถูกต้องแล้ว


เครื่องผสมสัญญาณเสียง(Audio Mixer)
          ต่อไปนี้เป็นเรื่องที่ควรทราบก่อนที่จะเลือกเครื่องผสมสัญญาณเสียงเพื่อนำมาใช้งานและหวังว่าผู้ที่อ่านบทความนี้แล้วสามารถทำความเข้าใจและมีความรู้พอที่จะตัดสินใจได้ว่าอุปกรณ์ชนิดไหนที่ตอบสนองตรงต่อความต้องการและนำไปใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ  การทำความเข้าใจกับเครื่องผสมสัญญาณเสียงเป็นเรื่องสำคัญอย่างมาก  เนื่องจากว่าตัวมันเป็นศูนย์กลางของการเชื่อมต่ออุปกรณ์ทางเสียงทั้งหมดในห้องสตูดิโอและยังทำหน้าที่ใช้ควบคุมการทำงานที่เกี่ยวข้องกับระบบเสียงแทบทั้งหมดอีกด้วย
เครื่องผสมสัญญาณเสียงทำหน้าที่อะไร
          เครื่องมิกเซอร์หรือแผงควบคุมการผสมเสียงหรือแผงคอนโซลมีความหมายเดียวกัน  เป็นอุปกรณ์ที่ยอมให้เราสามารถปรับแต่ง  กำหนดตำแหน่งของเสียงในระบบสเตอริโอ  ทำเอฟเฟ็คและชดเชยระดับเสียงที่แตกต่างกันจากหลายๆแหล่งเพื่อให้ได้รับคุณภาพเสียงโดยรวมออกมาดีที่สุด และทั้งหมดนี้เรียกว่าการผสมเสียง เราสามารถเพิ่มเอฟเฟ็คบางอย่างเข้าไปในบางช่องทางของแหล่งเสียงได้แต่ไม่ใช่ทุกช่องทาง  สามารถปรับตำแหน่งเสียงของเครื่องดนตรีบางชิ้นในระบบเสียงแบบสเตอริโอ กำหนดเส้นทางให้กับสัญญาณเสียงขาออกไปยังอุปกรณ์ปลายทาง หรือทำการปรับเสียงทุ้มแหลมของแต่ละช่องทางสัญญาณขาเข้าและขาออก หรืออาจใช้งานเพื่อการบันทึกเสียงแบบแยกช่องการบันทึกหลายช่องพร้อมกันที่เรียกว่า multi track
          ทั้งหมดที่กล่าวมาแล้วย่อมเห็นได้ว่าเครื่องผสมสัญญาณเสียงทำหน้าทีเป็นศูนย์กลางของอุปกรณ์ในระบบเสียงทั้งหมด แต่ทว่าถ้าเรามาดูที่ตัวผลิตภัณฑ์เครื่องผสมเสียงในตลาดแล้วจะเห็นได้ว่าเครื่องผสมเสียงที่ผลิตออกมาจำหน่ายจะแบ่งเป็นสี่กลุ่มใหญ่ด้วยกันคือ เครื่องผสมสัญญาณเสียงแบบแอนะลอก เครื่องประเภทนี้สัญญาณเสียงที่มาถึงช่องทางขาเข้าจะถูกนำมารวมกันแล้วส่งต่อไปยังอุปกรณ์ปลายทาง แบบที่สองอาจจะเรียกได้ว่าแบบไม่ต้องใช้เครื่องผสมสัญญาณเสียง(mixerless) หมายถึงการใช้อุปกรณ์เชื่อมต่อแหล่งเสียงเข้ากับเครื่องคอมพิวเตอร์แล้วใช้โปรแกรมที่เหมาะสมเพื่อควบคุมการทำงานบนหน้าจอ และทำให้วิธีการทำงานแบบนี้ใช้เงินลงทุนและอุปกรณ์น้อยอีกทั้งยังเป็นการง่ายสำหรับการเริ่มต้นทำงานผสมเสียงอีกด้วย  เครื่องผสมสัญญาณเสียงแบบที่สามคือ เครื่องผสมสัญญาณเสียงแบบดิจิตัล และแบบที่สี่เป็นการนำเอา เครื่องผสมสัญญาณเสียงแอนะลอกมาทำงานร่วมกับอุปกรณ์เชื่อมต่อแบบดิจิตัล ที่ในบางครั้งอาจเพิ่มระบบควบคุมการทำงานของอุปกรณ์อื่นเข้าไปด้วย

 การผสมสัญญาณเสียงด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์
          ก่อนอื่นลองถามตัวเองก่อนว่าเครื่องผสมสัญญาณเสียงมีความจำเป็นแค่ไหน ซึ่งคำตอบที่ได้รับอาจไม่จำเป็นก็ได้เพราะในปัจจุบันนี้มีผู้ผลิตอุปกรณ์เชื่อมต่อระบบเสียงเข้ากับเครื่องคอมพิวเตอร์และมีโปรแกรมควบคุมการทำงานสำหรับผสมสัญญาณเสียงจำนวนมากมายให้เลือกใช้  เพียงแค่ทำการต่อแหล่งกำเนิดเสียงประเภทต่างๆเช่น ไมโครโฟน เครื่องเล่นสื่อเสียงหรือแหล่งกำเนิดเสียงใดก็ตามเข้ากับอุปกรณ์เชื่อมต่อของคอมพิวเตอร์ เราก็สามารถควบคุมระดับเสียงหรือเพิ่มเอฟเฟ็คพิเศษได้ตามแต่โปรแกรมนั้นๆจะมีให้  รวมไปถึงการควบคุมการทำงานของอุปกรณ์ต่างๆทีเชื่อมต่อได้อีกด้วย แต่การทำงานโดยใช้อุปกรณ์เชื่อมต่อกับเครื่องคอมพิวเตอร์มีข้อจำกัดเรื่องจำนวนของสัญญาณเข้าออกโดยทั่วไปแล้วมีช่องทางเข้าแปดช่องและออกแปดช่องเท่านั้น  แต่นี่ก็เพียงพอต่อการใช้สำหรับงานบันทึกเสียงที่ไม่ได้มีอุปกรณ์มากชิ้น และถ้าการทำงานของคุณเป็นแบบนั้นแล้วก็ไม่จำเป็นต้องใช้เครื่องผสมสัญญาณเสียงในระบบเลยเพียงแค่เลือกใช้อุปกรณ์เชื่อมต่อและการ์ดเสียงที่มีคุณภาพดีๆก็เพียงพอแล้ว
ชนิดของเครื่องผสมสัญญาณเสียง
          โดยหลักการแล้วเครื่องผสมสัญญาณเสียงมีเพียงสามชนิดคือ
1)      แบบแอนะลอก
2)      แบบดิจิตัล
3)      แบบแอนะลอกที่มีการเพิ่มช่องต่อสัญญาณแบบยูเอสบีและช่องต่อแบบไฟร์ไวร์(USB and Firewire interface)
ในกรณีของเครื่องแบบแอนะลอกจะรองรับสัญญาณเสียงแบบแอนะลอกเท่านั้นและจะไม่ทำการแปลงสัญญาณเสียงแบบแอนะลอกให้เป็นสัญญาณเสียงแบบดิจิตัล  แต่ถ้าเป็นเครื่องผสมสัญญาณเสียงแบบดิจิตัลแล้วจะยอมรับการเชื่อมต่อได้ทั้งสองรูปแบบ  โดยตัวมันจะทำหน้าที่แปลงรูปแบบของสัญญาณชนิดแอนะลอกไปเป็นข้อมูลดิจิตัลทันทีที่ผ่านเข้าไปในเครื่อง ภายหลังจากผ่านกระบวนการสร้างเอฟเฟ็คและประมวลผลแล้วข้อมูลก็จะผ่านออกมาทางช่องขาออกและยังทำการแปลงกลับให้เป็นสัญญาณชนิดแอนะลอกให้ด้วย สำหรับเครื่องผสมเสียงแบบแอนะลอกที่มีการเพิ่มช่องต่อสัญญาณแบบยูเอสบีหรือไวร์ไฟร์นั้นมีไว้สำหรับการเชื่อมต่อเข้ากับอุปกรณ์ที่มีการเชื่อมต่อข้อมูลแบบดิจิตัลเช่นเครื่องคอมพิวเตอร์  แต่ภายในเครื่องผสมเสียงเองนั้นเป็นการทำงานด้วยสัญญาณเสียงแบบแอนะลอกทั้งหมด ถ้าต้องการใช้งานรูปแบบนี้เราจำเป็นต้องตรวจสอบคุณลักษณะทางเทคนิคให้แน่นอนก่อนว่านำไปเชื่อมต่อกับอะไรสัญญาณแบบไหน  ถ้าหากว่ามีการตั้งคำถามว่าแล้วควรใช้เครื่องผสมสัญญาณประเภทไหนดี คำตอบก็คือขึ้นอยู่กับเงินงบประมาณที่มีอยู่และควรใช้จ่ายเพื่อให้ได้รับสิ่งที่ดีที่สุด

คุณภาพของเครื่องผสมสัญญาณเสียง
          ลองตั้งคำถามว่าทำไมมิกเซอร์บางเครื่องมีราคาแพงกว่าอีกเครื่อง ทั้งทีเครื่องราคาถูกกว่ามีลูกเล่นหรือจุดปรับแต่งมากกว่าเครื่องที่แพงกว่าเสียอีกด้วยซ้ำไป สำหรับเครื่องผสมสัญญาณเสียงแล้วตามปกติหมายถึงว่าจ่ายเท่าไรย่อมได้เท่านั้น  และในบางครั้งคุณลักษณะทางเทคนิคของสัญญาณที่มีค่าสูงก็ไม่ได้หมายถึงความแข็งแรงทนทาน ถ้าต้องการอุปกรณ์ที่มีคุณภาพสูงย่อมต้องมีค่าใช้จ่ายสูงตามด้วยถึงจะได้ความกระทัดรัดและโครงสร้างที่ทนทานเชื่อถือไว้วางใจได้ เนื่องจากเครื่องผสมสัญญาณเสียงมีส่วนของกลไกสำคัญที่ต้องเคลื่อนไหวได้หลายส่วนและมีอายุการใช้งานที่แตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับมาตรฐานการผลิต ถ้าเราเคาะที่ตัวเครื่องคุณภาพสูงจะพบว่ามักทำจากโครงสร้างโลหะที่แข็งแรง แต่ถ้าเป็นเครื่องทีราคาถูกแล้วจะแตกต่างกันและมักก่อให้เกิดเสียงรบกวนได้ง่าย เป็นผลให้ต้องระมัดระวังในการใช้งานทำให้ไม่สามารถปรับแต่งเสียงได้มากนักเพราะจะทำให้เกิดเสียงรบกวนได้ง่าย
          แต่อย่างไรก็ดีด้วยเทคโนโลยีที่สูงมากขึ้นทำให้ปัจจุบันนี้เครื่องผสมสัญญาณเสียงได้รับการพัฒนามากขึ้นแล้ว  ทำให้ในบางครั้งก็ไม่สามารถระบุความแตกต่างในคุณภาพของเสียงที่มาจากเครื่องที่มีราคาแตกต่างกันหลายเท่าได้ แต่อย่างไรก็ตามเครื่องที่มีราคาถูกเกินไปมักจะมีปัญหาที่ปุ่มปรับและตัวเฟดเดอร์ที่ไม่แข็งแรงทนทานหรืออาจเป็นผลจากมาตรฐานการผลิตที่ไม่ได้ควบคุมคุณภาพให้ดีพอ ภายในเครื่องผสมสัญญาณเสียงประกอบไปด้วยสายไฟและวงจรที่ซับซ้อนและถ้าหากว่ามีจุดต่อใดๆที่ไม่ดีแล้วย่อมทำให้เกิดปัญหาตามมาและการแก้ปัญหาทำได้ยาก  พึงระลึกไว้ว่าเงื่อนไขการรับประกันและการซ่อมบำรุงย่อมถูกบวกเข้าไปในราคาและคุณภาพของสินค้าด้วย
          นอกจากนี้ยังมีตัวแปรที่สำคัญอีกอย่างคือ ภาคขยายเสียงของไมโครโฟน (microphone preamps) ที่จะทำหน้าที่ขยายสัญญาณระดับต่ำมากทีออกจากตัวไมโครโฟนให้อยู่ที่ระดับไลน์ (line level) สำหรับภาคขยายที่มีราคาถูกมักจะเพิ่มสัญญาณรบกวนหรือสิ่งที่ไม่ต้องการเข้าไปด้วย ในกรณีทำการผสมญญาณเสียงที่เป็นระดับของไลน์ย่อมไม่จำเป็นต้องมีภาคขยายนี้ แต่ถ้าต้องการบันทึกเสียงพูดหรือเครื่องดนตรีที่มาจากไมโครโฟนแล้วเราต้องการวงจรขยายที่ดีมีคุณภาพสูง และในบางงานที่ต้องการคุณภาพสูงสุดถึงขนาดอาจจำเป็นต้องใช้ภาคขยายเสียงไมโครโฟนโดยเฉพาะแล้วต่อสัญญาณระดับไลน์เข้าสู่เครื่องผสมเสียงอีกทีหนึ่ง เพราะฉะนั้นเครื่องผสมเสียงที่มีราคาแพงย่อมให้คุณภาพของภาคขยายเสียงจากไมโครโฟนที่ดีกว่า

ส่วนประกอบสำคัญของเครื่องผสมสัญญาณเสียง
1)      Pan pot มาจากคำเต็มว่า “panoramic potentiometer” ใช้ทำหน้าที่กำหนดตำแหน่งของเสียงจากด้านซ้ายไปจนถึงด้านขวาในระบบเสียงแบบสเตอริโอ
2)      Mute / solo buttons ปุ่มกดเอาไว้สำหรับเลือกที่จะฟังหรือว่าไม่ฟังเสียงของช่องนั้นๆเพียงช่องเดียวแล้วแต่ว่าจะฟังจากลำโพงหรือหูฟังโดยไม่มีผลกระทบกับเสียงช่องอื่นๆ
3)      Routing buttons เป็นสวิทช์เอาไว้เลือกเส้นทางของสัญญาณเสียงว่าต้องการให้สัญญาณผ่านไปออกที่บัสไหน ตามปกติจะมีสี่หรือแปดบัสขึ้นอยู่กับการออกแบบ
4)      Fader เป็นตัวปรับระดับของสัญญาณที่เลื่อนขึ้นลงตามต้องการของแต่ละช่องมาจากคำว่า”fading in or fading out”มีข้อสังเกตอย่างหนึ่งคือทีตัวเฟดเดอร์จะมีสเกลบอกระดับไว้ที่ประมาณสามในสี่ส่วนว่าเป็นระดับศูนย์วียู หมายถึงว่าสัญญาณขาออกจะมีระดับเท่ากับสัญญาณขาเข้าแต่ถ้าเลื่อนขึ้นหรือลงก็หมายถึงทำให้สัญญาณมีระดับสูงหรือต่ำกว่าที่เข้ามา
5)      Channel หมายถึงสัญญาณเสียงแต่ละช่องทางที่เข้ามายังแต่ละเฟดเดอร์ และแต่ละแชนเนลอาจมีสวิทช์เอาไว้เลือกชนิดของสัญญาณว่าเป็นไมโครโฟนหรือไลน์ ตามมาด้วยปุ่มปรับระดับของสัญญาณทีเรียกว่า trim ต่อมาก็เป็นปุ่มปรับชดเชยความถี่เสียงที่เรียกว่า EQ (equalization) ที่ตัวแชนเนลจะมีส่วนของการส่งสัญญาณเสียงไปยังอุปกรณ์ทำเอฟเฟ็คหรือว่าอาจส่งไปยังอุปกรณ์ปลายทางอื่นใดก็ได้ ตรงจุดนี้จะเรียกว่า send ลำดับสุดท้ายของแชนเนลเป็นปุ่มกดเลือกเส้นทางของสัญญาณที่เรียกว่า bus or routing ทำหน้าทีส่งสัญญาณเสียงจากแชนเนลไปยังบัสต่างๆ
6)      Bus หมายถึงเส้นทางของสัญญาณเสียงที่มาจากแต่ละแชนเนลถูกนำมารวมกันที่แต่ละบัสโดยมีตัวเฟดเดอร์ของแต่ละบัสก่อนจะส่งไปยังตัวปรับสัญญาณขาออกปลายทาง (master fader) หรือว่าจะส่งต่อไปยังอุปกรณ์อื่นๆก็ได้ นอกจากนี้เรายังสามารถป้อนสัญญาณจากบัสกลับเข้าสู่แชนเนลใดๆที่ว่างอยู่ก็ได้ บนเครื่องผสมสัญญาณเสียงที่มีระบบบัสนั้นแต่ละแชนเนลจะมีปุ่มกดให้เลือกส่งสัญญาณไปยังบัสใดๆก็ได้ และจะมีบัสหลักที่เรียกว่า main bus (L / R)  ตามปกติแล้วการใช้งานบัสมีไว้เพื่อจัดแยกสัญญาณเสียงจากแหล่งกำเนิดไว้เป็นกลุ่มย่อยหรือในกรณีทีบางแชนเนลจำเป็นต้องใช้อุปกรณ์ทำเอฟเฟ็คแตกต่างกัน หรือในบางกรณีทีต้องการบันทึกเสียงแบบเซอร์ราวด์ก็สามารถทำได้ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการใช้งานที่ต้องการ
7)      Channel insert คือการกำหนดเส้นทางของสัญญาณเสียงให้ออกจากตัวแชลเนลไปยังอุปกรณ์อื่นก่อนแล้วย้อนกลับมาเข้าที่ตัวเฟดเดอร์เดิม เป็นการทำเอฟเฟ็คพิเศษเฉพาะตัวของแชลเนลนั้นๆ เช่นอาจเป็นตัว compressor , outboard EQ , sound processor หรืออาจต่อไปยังจุดเชื่อมต่อที่เรียกว่า patch bay เพื่อเอาไว้เชื่อมต่ออุปกรณ์ใดก็ตาม พึงระลึกไว้ว่าเครื่องผสมสัญญาณเสียงสามารถเชื่อมต่อและกำหนดหน้าทีการทำงานได้หลายรูปแบบขึ้นอยู่กับความต้องการของผู้ใช้
8)      Balanced input and output เครื่องผสมสัญญาณเสียงที่มีจุดต่อแบบนี้ไม่ว่าจะเป็นชนิดที่เป็น XLR หรือ ¼ TRS ก็ตามย่อมทำให้สามารถต่อสายสัญญาณได้ไกลมากขึ้นโดยที่ไม่เกิดเสียงฮัมหรือสัญญาณรบกวน  แต่ถ้าเป็นเครื่องขนิดที่ใช้จุดต่อเข้าออกแบบอันบาลานซ์แล้วจำเป็นต้องใช้สายที่สั้นลงเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาดังกล่าว สำหรับเครื่องผสมสัญญาณที่มีจุดต่อชนิดบาลานซ์นั้นจะสามารถยอมรับการเชื่อมต่อแบบอันบาลานซ์ได้อยู่แล้วดังนั้นถ้าอุปกรณ์ที่นำมาเชื่อมต่อเป็นแบบอันบาลานซ์ก็สามารถนำมาต่อเข้ากับมันได้เลยแต่ไม่สามารถใช้สายยาวมากได้
9)      Send and return หมายถึงเส้นทางของสัญญาณทีส่งออกและนำกลับมายังเครื่องผสมสัญญาณเสียงของแต่ละแชลเนล โดยแต่ละแชลเนลจะสามารถส่งได้ตั้งแต่สองถึงหกเส้นทางขึ้นอยู๋กับการออกแบบของตัวเครื่องนั้น  แต่ละเส้นทางก็มีปุ่มให้ปรับระดับของสัญญาณที่ต้องการส่งไปยังอุปกรณ์อื่นๆ และด้วยการใช้วิธีการเช่นนี้ทำให้สามารถแยกส่งสัญญาณแต่ละชุดไปยังผู้ทีมีส่วนร่วมในการบันทึกเสียงหรืองานการแสดงสดได้รับฟังเฉพาะสิ่งที่ต้องการฟังได้ หรือในกรณีที่ต้องการส่งสัญญาณไปยังอุปกรณ์ทำเอฟเฟ็คแล้วย้อนกลับมาเข้าเครื่องผสมสัญญาณเสียงทีจุดต่อของ return แล้วนำไปผสมกับแหล่งเสียงอื่นก็สามารถทำได้ ทั้งหมดนี้ขึ้นอยู่ที่การสร้างสรรค์ว่าต้องการทำอะไรกับมัน ในบางครั้งไม่จำเป็นต้องนำสัญญาณกลับมาแต่ในบางกรณีอาจจำเป็นต้องนำเอาสัญญาณนั้นกลับมาเข้าที่อีกแชลเนลหนึ่งเพื่อทำการปรับแต่งชดเชยความถี่เสียงหรือปรับระดับของสัญญาณด้วยตัวเฟดเดอร์อีกที นอกจากนี้เรายังสามารถใช้ return ให้มีหน้าที่เสมือนเป็นช่องทางสัญญาณขาเข้าก็ได้เพื่อเอาไว้เชื่อมต่อกับอุปกรณ์ที่เป็นแหล่งกำเนิดเสียงอื่นๆเช่นเครื่องเล่นซีดี แผ่นเสียง คอมพิวเตอร์ เป็นต้น
      ดังนั้นก่อนทีจะเลือกใช้เครื่องผสมสัญญาณเสียงควรมุ่งเน้นไปที่ว่าสามารถตอบสนองการทำงานของเราได้ทุกด้านหรือไม่ โดยพิจารณาจากจำนวนช่องต่อสัญญาณขาเข้าและออกว่าพอเพียงไหม จำนวนของบัสที่ต้องการนำไปใช้งานกี่บัส  จำเป็นต้องมีจุดเชื่อมต่อแบบไดเร็คเอาท์พุทหรือเปล่า ตรวจสอบว่ามีจำนวนจุดต่อออกไปและย้อนกลับเท่าใด(send and return)  ต้องการปรีแอมป์สำหรับไมโครโฟนหรือเปล่า  มีระบบจ่ายไฟสำหรับไมโครโฟนแบบคอนเด็นเซอร์ด้วยไหม ระบบเชื่อมต่อเป็นแบบบาลานซ์หรือว่าอันบาลานซ์  ทั้งหมดนี้เป็นคำถามที่จำเป็นต้องหาข้อยุติก่อนที่จะนำเอาเครื่องผสมสัญญาณเสียงมาติดตั้งใช้งาน

เครื่องผสมสัญญาณเสียงแบบดิจิตัล
          การตัดสินใจนำเอาวิธีการผสมเสียงแบบดิจิตัลมาใช้ทำงานนับว่าเป็นเรื่องที่วุ่นวายพอสมควร เนื่องจากจำเป็นต้องยอมรับกับความยุ่งยากที่จะต้องทำความเข้าใจและเรียนรู้กับอุปกรณ์และคำศัพท์เทคนิคที่อาจไม่คุ้นเคยสำหรับผู้เริ่มต้น เริ่มตั้งแต่ชุดเมนูคำสั่งที่แยกย่อยออกเป็นสับเมนูหลายระดับ หน้าทีคำสั่งและการใช้งานของเครื่องผสมสัญญาณเสียงแบบดิจิตัลที่มีหลากหลายหน้าที่ เช่นการสั่งให้เฟดเดอร์ทำการลดหรือเพิ่มระดับเสียง การสั่งการให้เพิ่มหรือลดระดับของเอฟเฟ็ค การส่งสัญญาณออกไปแล้วย้อนกลับเข้ามาที่เฟดเดอร์อีก ทั้งหมดเหล่านี้จำเป็นต้องมีการวางแผนและป้อนคำสั่งเป็นลำดับขั้นตอนการทำงาน  แต่อย่างไรก็ดีการทำงานแบบบันทึกเสียงชนิดมัลติแทรคบนเครื่องผสมสัญญาณเสียงประเภทดิจิตัลสามารถทำได้สะดวกมาก รวมไปถึงการกำหนดเส้นทางของสัญญาณ การกำหนดเลือกใช้เอฟเฟ็คทีมีให้ภายในเครื่อง การปรับแต่งชดเชยความถี่เสียงและการใช้อุปกรณ์ซาวด์โปรเซสภายในเครื่องก็สามารถทำการกอปปี้แล้ววางคำสั่งทีเหมือนกันหลายชุดได้สะดวกและรวดเร็วกว่าระบบแอนะลอก
          แต่คิดในอีกแง่มุมหนึ่งแล้วการที่เราเลือกใช้ระบบดิจิตัลก็เพราะว่าเราสามารถควบคุมและรักษาเส้นทางของสัญญาณทั้งหมดให้อยู่ในรูปแบบของสัญญาณเสียงดิจิตัลตลอดตั้งแต่ต้นทางไปถึงปลายทาง  เนื่องจากในปัจจุบันนี้อุปกรณ์ส่วนใหญ่ในห้องสตูดิโอหรือระบบมัลติมีเดียเป็นการเชื่อมต่อแบบดิจิตัลหมดแล้ว แม้ว่าในบางครั้งเราอาจจำเป็นต้องพึ่งพาอุปกรณ์แปลงสัญญาณเสียงจากแอนะลอกเป็นดิจิตัลหรือกลับกันบ้าง (DA / AD conversion)  ดังนั้นก่อนอื่นต้องทำการตรวจสอบว่าจำนวนสัญญาณขาเข้าและออกทีเป็นแอนะลอกและชนิดที่เป็นดิจิตัลมีจำนวนเท่าใดเสียก่อนเพราะว่าชนิดและจำนวนของสัญญาณขาเข้าและออกย่อมเป็นปัจจัยสำคัญของราคาสินค้านั้น
          การผสมสัญญาณเสียงนับว่ามีส่วนคล้ายกับงานประติมากรรมหรืองานแกะสลักทีต้องใช้มือที่ประณีตบรรจงทำงาน   ดังนั้นจึงยังคงมีผู้คนจำนวนมากทีพึงพอใจกับเครื่องผสมสัญญาณเสียงแบบแอนะลอกอยู่  ผู้คนที่เป็นศิลปินเหล่านี้คิดว่าเครื่องผสมสัญญาณเสียงแบบดิจิตัลเป็นเรื่องไม่จำเป็นเพราะว่าทุกอย่างทีมีในเครื่องแบบแอนะลอกก็พอเพียงแล้ว

เครื่องผสมสัญญาณเสียงแบบแอนะลอกต่อเชื่อมกับสัญญาณดิจิตัล
          วิธีการทำงานแบบนี้เป็นที่นิยมกันมากในปัจจุบันเพราะว่าสามารถทำได้ง่ายและเพียงพอต่อการใช้งาน เพียงแค่นำเอาอุปกรณ์ทีต้องการใช้งานมาเชื่อมต่อ(interface)เข้ากับเครื่องผสมสัญญาณเสียงแบบแอนะลอกแบบเดิมที่คุ้นเคย ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับว่าต้องการใช้งานแบบไหนและจำนวนของช่องสัญญาณขาเข้าและออกเป็นจำนวนเท่าใด
          ข้อดีของวิธีการทำงานแบบนี้คือสามารถปรับแต่งและขยายระบบได้ง่ายกว่าเครื่องผสมสัญญาณเสียงที่เป็นแบบดิจิตัล  และยังสามารถให้มันเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ที่มีจุดต่อเข้าออกแบบดิจิตัลได้ขึ้นอยู่กับการเลือกใช้อุปกรณ์เชื่อมต่อที่เหมาะสม ในเครื่องผสมสัญญาณเสียงรุ่นใหม่ๆหลายยี่ห้อจะมีจุดเชื่อมต่อแบบ USB และหรือแบบ firewire มาให้ด้วยทำให้สามารถเชื่อมต่อเข้ากับเครื่องคอมพิวเตอร์ได้โดยตรง แต่ควรตรวจสอบให้แน่นอนเสียก่อนที่จะนำมาใช้งานเพราะอย่างที่ทราบกันดีว่าอะไรก็ตามทีเกี่ยวข้องกับคอมพิวเตอร์แล้วจะมีหลากหลายรุ่นและรูปแบบ
แอนะลอกมิกเซอร์ที่เป็นแบบดั้งเดิม
          ถ้าหากคิดว่าเครื่องผสมสัญญาณเสียงที่เป็นแบบแอนะลอกเป็นของเก่าล้าสมัยและไม่ดีแล้วถือว่าเป็นการเข้าใจผิดอย่างมากเลย มีผู้คนเป็นอันมากที่ยังพึงพอใจกับการเลื่อนเฟดเดอร์และหมุนปุ่มปรับเพื่อให้ได้โทนเสียงอันอบอุ่น และอาการตอบสนองการทำงานอย่างทันใจด้วยการปรับแต่งเพียงปุ่มสองปุ่ม มันปราศจากเมนูหรือว่าคำสั่งการทำงานที่ซับซ้อนหลายขั้นตอน ที่ต้องกระทำก็เพียงแค่เลื่อนเฟดเดอร์และปรับหมุนปุ่มเพื่อควบคุมระดับแรงดันของสัญญาณเสียงที่วิ่งไปตามสายเท่านั้นเอง
          วิธีการจัดแบ่งกลุ่มของเครื่องแบบแอนะลอกได้เป็นสองกลุ่มใหญ่คือ หนึ่งตามจำนวนช่องสัญญาณ และสองตามจำนวนของบัสสัญญาณ ดังนั้นเราจะพบว่าเครื่องผสมสัญญาณเสียงที่มีจำหน่ายส่วนใหญ่เกือบทุกยีห้อและรุ่นจะเป็นหมายเลขที่บ่งบอกข้อมูลดังกล่าว ตัวอย่างเช่นถ้าเขียนว่า 32-8 ก็หมายความว่ามีช่องต่อสัญญาณขาเข้าจำนวน 28 ช่องและมีจำนวนของบัส 8 บัส และในบางรุ่นก็จะมีตัวเลขชุดที่สามติดมาด้วยซึ่งเป็นการระบุถึงจำนวนช่องสัญญาณขาออกหลัก (master output) ดังนั้นก่อนที่จะดำเนินการจัดหานำมาใช้งานเราจำเป็นต้องศึกษาคุณลักษณะทางเทคนิคให้ละเอียดเสียก่อน

ประเภทของแอนะลอกมิกเซอร์
1)      ประเภทมีแปดบัสสัญญาณ ถ้างานที่ต้องการบันทึกเสียงวงดนตรีทั้งวงในห้องสตูดิโอจำเป็นต้องใช้ไมโครโฟนเป็นจำนวนมากและในขณะบันทึกยังต้องฟังเสียงไปพร้อมกันด้วย ในกรณีเช่นนี้เราจำเป็นต้องส่งเสียงเป็นมอนิเตอร์ไปยังทีมงานทุกคนอีกด้วย เครื่องผสมสัญญาณเสียงที่มีจำนวนบัสแปดบัสจะเหมาะสมต่องานประเภทนี้ที่สุด สำหรับจำนวนของช่องต่อสัญญาณขาเข้าขึ้นอยู่กับเงินงบประมาณและความเหมาะสม อาจเริ่มต้นจากจำนวนช่องที่มี 24 – 48 ช่องสัญญาณ
2)      ประเภทที่มีอุปกรณ์เชื่อมต่อกับสัญญาณดิจิตัล เครื่องผสมสัญญาณเสียงชนิดนี้ภาพลักษณ์ภายนอกไม่ได้แตกต่างจากเครื่องชนิดแอนะลอกทั่วไปแต่จะมีจุดเชื่อมต่อประเภทยูเอสบีหรือไฟร์ไวร์เข้ากับอุปกรณ์แบบ DAW (digital audio workstation) มาให้ด้วย การเชื่อมต่อที่ว่านี้มีตั้งแต่แบบพื้นฐานทั่วไปจำนวนสองช่องสัญญาณไปจนระบบใหญ่ๆทีมีจำนวนหลายช่องสัญญาณทั้งเข้าและออกจากตัวเครื่อง
3)      ประเภทมีสี่บัสสัญญาณ หมายถึงตัวเครื่องแบบนี้มีเส้นทางของสัญญาณให้เลือกเพียงสี่กลุ่มย่อย (sub or group outs) นอกจากนี้ก็ยังมีสัญญาณขาออกหลัก (main or program outs) และอีกอย่างคือสัญญาณเสียงสำหรับห้องควบคุม (control room outs)  ระบบเลือกช่องทางของบัสสัญญาณเอื้อประโยชน์สำหรับการเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ภายนอก นอกจากตัวบัสแล้วเรายังสามารถใช้ช่องทางอื่นทีมีอีกเช่นช่องไดเร็คเอาท์ ช่อง insert and send ให้เลือกใช้อีกด้วย
4)      ประเภท 2+2 บัสสัญญาณ สำหรับการทำงานที่ไม่ซับซ้อนหรือมีการบันทึกเสียงจากแหล่งสัญญาณเสียงไม่มากนัก เครื่องแบบที่มีกลุ่มบัสย่อยเพียงสองช่องบวกกับช่องโปรแกรมหลักอีกสองช่องก็พอเพียงแล้ว เครื่องประเภทนี้มักมีช่องสัญญาณขาเข้าไม่มากนักตั้งแต่ 4 – 12 ช่อง
5)      ประเภทสเตอริโอมิกเซอร์ เครื่องแบบนี้เป็นประเภทที่ไม่มีบัสย่อยให้มีเพียงช่องทางของสัญญาณขาออกหลักสองช่องแบบสเตอริโอซ้ายขวา (L+R) เท่านั้น  อย่างไรก็ดีมันสามารถปรับแต่งผสมเสียงสัญญาณขาเข้าและปรับแต่งสัญญาณขาออกได้ระดับหนึ่ง
6)      ประเภทติดตั้งอยู่บนตู้แรค เครื่องผสมสัญญาณเสียงแบบนี้มักมีขนาดเล็กกะทัดรัดที่ไม่ค่อยมีจุดให้ปรับแต่งเสียงได้มากนักและมีช่องสัญญาณขาเข้าจำนวน 4 – 8 ช่อง ส่วนใหญ่ใช้ทำงานในระบบเสียงย่อยๆหรืองานชนิดที่ไม่จำเป็นต้องปรับกันบ่อย 

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

การถ่ายทอดสดนอกสถานที่(Outside Broadcasting)

ห้องผลิตรายการโทรทัศน์และฉากเสมือนจริง (TV studio and Virtual studio)